“นิวัฒน์ธำรง”แจงสภาเตรียมเซ็นขายข้าวให้จีน 1.2 ล้านตัน ผ่านรัฐวิสาหกิจชื่อ “เป่ยต้าฮวง กรุ๊ป” ลงนามภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ ยันจำนำข้าวเกษตรได้ประโยชน์

การประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณารายงานแสดงผลการดำเนินการของคณะ รัฐมนตรีตามแนวนโยบายแห่งรัฐ รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปีที่หนึ่ง (วันที่ 23 ส.ค.2554 ถึง วันที่ 23 ส.ค.2555) เป็นวันที่สองต่อจากการประชุมเมื่อวานนี้

นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ได้ชี้แจงถึงนโยบายจำนำข้าวว่า สำหรับการทำสัญญาซื้อขายข้าวกับรัฐวิสาหกิจชื่อ บริษัท เป่ยต้าฮวง กรุ๊ป ของจีนจำนวน 1.2ล้านตัน ไทยจะมีการลงนามร่วมกันภายใน1-2สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งการปล่อยข่าวเกี่ยวกับข้าวเน่าที่ผ่านมามีผลกระทบการขายข้าวของไทยใน ต่างประเทศและเป็นการทำลายอนาคตของข้าวไทย

“ยืนยันว่าการรับจำนำข้าวทำให้ราคาข้าวเปลือกสูงขึ้นและสร้างประโยชน์ให้ กับชาวนาจำนวนมาก โดยชาวนามีเงินออมมากขึ้น เช่น ในปี2554 มีเงินฝากเฉลี่ย 1.2 หมื่นบาทต่อบัญชี ปี2555 มีเงินฝากเฉลี่ย 1.4 -1.5หมื่นบาทต่อบัญชี และปี2556 มีเงินฝากเฉลี่ย 1.7 หมื่นบาท จะเห็นได้ว่ามีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ ราคาข้าวดีรายได้ของชาวนาก็ดี ที่สำคัญช่วยให้ชาวนามีความสามารถในการชำระหนี้มากขึ้นด้วย ในปี2554 ชำระหนี้ได้ 94.5% ของยอดหนี้ ปี 2555 ชำระได้ 96% และปี2556 จ่ายหนี้ได้ 97% ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นการรวบรวมของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร” นายนิวัมฒน์ธำรง กล่าว

นายนิวัฒน์ธำรง กล่าวว่า ขณะที่สถานการณ์ข้าวโลกที่มีความเปลี่ยนแปลงในช่วง2ปีนี้เพราะอินเดียสามารถ ผลิตข้าวและส่งออกได้เพิ่มขึ้น ซึ่งสามารถส่งออกข้าวได้ถึงปีละ 9-10 ล้านตันจากเดิมปีละ3ล้านตันต่อปีเท่านั้น ดังนั้นถ้าอินเดียดำเนินนโยบายแบบนี้ยอมรับว่าจะสร้างความเหนื่อยให้กับ ประเทศไทย เนื่องจากไทยมีสถานะเป็นผู้ผลิตข้าวในอันดับที่6 จำนวน 20 ล้านตันต่อปี โดยอันดับที่ 1 คือ สาธารณรัฐประชาชนจีนจำนวน 143 ล้านตันต่อปี อันดับที่ 2 อินเดีย 104 ล้านตันต่อปี รองลงมาเป็น อินโดนีเซีย 36 ล้านตันต่อปี และเวียดนาม 27 ล้านตันต่อปี

“มองจำนวนในเชิงปริมาณยอมรับว่าของเรามีน้อยแต่ถ้ามองมูลค่าของเงินที่ ได้เข้ามาประเทศไทยยังถือว่ามีมากกว่า ซึ่งมั่นใจว่าปี 2556-2557จะสามารถแซงหน้าเวียดนามแต่อาจจะไม่สูงเท่ากับอินเดีย ซึ่งเป็นความจริงที่ต้องยอมรับกัน” นายนิวัฒน์ธำรง กล่าว

รองนายกฯ กล่าวว่า ส่วนสถานการณ์ส่งออกของไทยที่มีปัญหานั้นเราทราบกันดีอยู่แล้วว่าเมื่อ ปี2556 เศรษฐกิจของโลกไม่ดี ไม่ว่าจะเป็น สหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่ดีขึ้น โดยมาในปีนี้ประเทศจีนมาเผชิญกับปัญหาการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเช่นกัน เพราะมีอัตราการเจริญเติบโตเพียง 7%-8% เท่านั้นจากเดิมมีอัตราเฉลี่ยสูงถึง10% จึงมีผลให้การส่งออกได้ผลกระทบทั้งโลก โดยในภาพของการส่งออกของโลกในช่วงปี 2555-2556 พบว่าสิงคโปร์ ติดลบ3% อินเดีย เพิ่มขึ้น3% บราซิล ติดลบ 4.7% มาเลเซีย ติดลบ 3% อินโดนีเซีย ติดลบ 7%
ส่วนไทยอยู่ที่ 1%

“ยืนยันว่ารัฐบาลได้ดำเนินการกระตุ้นการส่งออกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเดินทางสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อสร้างตลาดในการค้า และการลงทุน” รองนายกฯ กล่าว

 

แหล่งข่าวจาก posttoday…